กรณีศึกษาของวิทยาลัยฟาร์โก*
วิทยาลัยฟาร์โก เป็นวิทยาลัยสตรีที่มีชื่อเสียงด้านศิลปศาสตร์แห่งหนึ่งในอเมริกาตั้งขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 โดยขุนนางซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานรถไฟ วิทยาลัยตั้งอยู่ไกลจากตัวเมืองออกไปในชนบทที่เป็นเส้นทางผ่านของรถไฟสายตะวันตกที่สำคัญสายหนึ่ง วิทยาลัยมีหนี้สินอยู่บ้างในระยะแรกของการก่อตั้ง แต่ต่อมาวิทยาลัยก็รุ่งโรจน์ขึ้นด้วยความสามารถของวิทยาลัยในการดึงดูดกุลธิดาจากตระกูลที่ดีที่สุดและมั่งคั่งที่สุดในภาคตะวันตกตอนกลางของอเมริกามาศึกษาที่วิทยาลัย ขณะเดียวกัน ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยแห่งนี้ก็สามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกได้ในอัตราที่น่าพอใจซึ่งนับเป็นชื่อเสียงของวิทยาลัยเช่นกัน
นักศึกษาส่วนใหญ่ของวิทยาลัยมีพรสวรรค์ทางวิชาการ ในปีที่ดีที่สุดระหว่าง 1950-1959 นั้น นักศึกษาของวิทยาลัยสามารถทำคะแนน Scholastic Aptitude Test (SAT) เฉลี่ยสูงกว่า 1,200 เมื่อรวมวิชาคณิตศาสตร์ และศัพท์เข้าด้วยกัน ในขณะที่คะแนนเฉลี่ยของประเทศประมาณ 800 เท่านั้น ในแต่ละปีวิทยาลัยรับนักศึกษา 200 คน จากจำนวนผู้สมัครกว่า 800 คน นักศึกษาต้องผ่านหลักสูตรซึ่งวิทยาลัยจัดให้เป็นชั้นเรียนย่อย ๆ (อัตราส่วนระหว่างอาจารย์ต่อนักศึกษา ประมาณ 1:5) เพื่อที่จะพัฒนาให้นักศึกษารอบรู้ และมีความสามารถในการคิด ทั้งนี้วิทยาลัยมิได้มุ่งที่จะเตรียมเด็กสำหรับอาชีพหนึ่งโดยเฉพาะ
สมัยนั้น สภาพเศรษฐกิจของวิทยาลัยอยู่ในเกณฑ์ดี ภายใต้การบริหารของอธิการบดีที่เป็นชายอย่างต่อเนื่อง วิทยาลัยมีเงินกองทุนที่จัดได้ว่ามากสำหรับวิทยาลัยขนาดเล็ก ทั้งนี้เพราะ 90% ของจำนวนนักศึกษาชำระค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน เนื่องจากวิทยาลัยอยู่ไกลจากตัวเมือง นักศึกษาทุกคนจึงต้องพักในหอพักของวิทยาลัย โดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีรถยนต์ แต่วิทยาลัยได้อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ บริเวณวิทยาลัยสวยงามมาก กล่าวคือตั้งอยู่บนเนินทางทิศใต้ของทะเลสาปใหญ่ มีต้นไม้ที่สวยงามปกคลุมไปทั่ว นักศึกษาชายจากวิทยาลัยอื่น ๆ มีวิธีที่จะมายังวิทยาลัยสตรีแห่งนี้อย่างไม่ย่อท้อแม้ว่าวิทยาลัยจะอยู่ไกลก็ตาม
ช่วงปี ค.ศ. 1960-1969 ภาพพจน์ของวิทยาลัยเปลี่ยนไป อัตราส่วนของนักเรียนที่ขอรับทุนสูงขึ้นมาก ทั้งนี้เพราะวิทยาลัยรับนักศึกษาที่เป็นตัวแทนของชนกลุ่มน้อย รวมทั้งสตรีที่เสียเปรียบทางสังคมเข้ามาศึกษา ผู้สมัครรายใหญ่ซึ่งได้แก่ลูก-หลานศิษย์เก่าก็ลดจำนวนลงด้วย เมื่อผู้สมัครลดลง ทั้งนี้รวมถึงจำนวนนักศึกษาที่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ามาก็ลดลงตามไปด้วย เนื่องจากวิทยาลัยไม่ต้องการลดมาตรฐานในการรับนักศึกษานั่นเอง รายได้ของวิทยาลัยจากค่าเล่าเรียนลดต่ำลง เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินซึ่งวิทยาลัยไม่สามารถแบกภาระเหล่านี้ได้ และสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อภาวะการตลาด และผลตอบแทนจากการลงทุนลดลง ในช่วงปี ค.ศ. 1970-1979 วิทยาลัยต้องมีรายจ่ายด้านสาธารณูปโภคสูงขึ้นมาก
จำนวนผู้สมัครลดลงเรื่อย ๆ จนวิทยาลัยต้องรับนักศึกษา 75% ของจำนวนผู้สมัครเข้ามาศึกษาต่อ แม้จะไม่มีการประกาศเปลี่ยนนโยบายและมาตรฐานในการรับนักศึกษาอย่างเป็นทางการก็ตาม คะแนนเฉลี่ยของ SAT ลดลงประมาณ 150 คะแนน อย่างไรก็ดี วิทยาลัยไม่ประสบปัญหาด้านการว่าจ้างอาจารย์ แม้ว่าวิทยาลัยจะต้องแบกภาระเรื่องเงินเดือนอาจารย์ที่ค่อนข้างมากอยู่ กล่าวโดยสรุป วิทยาลัยยังมิได้เปลี่ยนกลยุทธ์พื้นฐานในการดำเนินงาน แต่ความกังวลต่าง ๆ เริ่มเกิดขึ้น
ต่อไปนี้เป็นบทคัดย่อจากการให้สัมภาษณ์ของ Dr. Emily Mertimer, Dean of Faculty: “รูปแบบของการจัดการศึกษาแบบ Cycle สิ่งซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเป็นที่นิยมในอนาคต แนวโน้มของการจัดการศึกษาในปัจจุบันมุ่งไปที่การจัดการศึกษาแบบสหศึกษา และอาชีวะแต่ข้าพเจ้าเชื่อว่านั่นเป็นพื้นฐานที่ไม่มั่นคงในการจัดตั้งวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาลัยฟาร์โกที่ได้สร้างชื่อเสียงว่า เป็นวิทยาลัยสตรีดีเด่นด้านศิลปศาสตร์ วิธีการที่เปิดโอกาสให้สตรีวัยรุ่นค้นหาตนเองพัฒนาและทดสอบความสามารถของตนเองได้โดยไม่ต้องเกรงว่าจะสูญเสียความสนใจจากเพศชาย หรือ การเข้าถึงโดยเสรี ซึ่งเป็นการวางรากฐานให้กับชีวิตไม่ใช่เพียงแต่การเตรียมตัวเพื่อประกอบอาชีพอย่างใดอย่างหนึ่งได้ในวัย 20 เศษของเธอเหล่านั้น ปัจจุบันนี้ผู้หญิงดูเหมือนจะต้องการทำงานนอกบ้านซึ่งก็นับว่าเป็นสิ่งดี บัณฑิตของเขาหลายรุ่นได้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นและประกอบอาชีพต่าง ๆ อาทิ ครู นักเขียน ทนาย และแพทย์ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าในอนาคตบัณฑิตสตรีส่วนใหญ่จะยังคงจัดให้ครอบครัวเป็นศูนย์กลางของชีวิตและข้าพเจ้ายังเชื่ออีกว่าอัตราการเกิดจะสูงขึ้นจนเท่ากับสมัยก่อน และมีหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อนี้มีรายงานจากสหภาพโซเวียตที่ข้าพเจ้าสนใจกล่าวถึงขบวนการเพื่อสิทธิสตรี ซึ่งเป้าหมายแรกสำหรับสตรีก็คือการมีอิสระที่จะอยู่กับบ้านมีลูกมากขึ้นและเลี้ยงดูลูก”
บทคัดย่อจากการให้สัมภาษณ์ของ Edward White ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะสังคมวิทยาและเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในสภาคณาจารย์:
“วิทยาลัยอยู่ในช่วงวิกฤตจริง ๆ ผู้สมัครเข้าศึกษามีน้อยลงเรื่อย ๆ และคุณภาพของนักศึกษาก็ตกต่ำลง นักศึกษาที่เรารับส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่มุ่งหวังให้วิทยาลัยเป็นโรงเรียนสอนวิชาชีพหรือไม่ก็เป็นพวกที่กลัวการแข่งขันกับเพศชาย พวกเธอนั่งเฉยในชั้นเรียนและหวังให้อาจารย์บอกสิ่งที่จะเขียนให้ และอย่ากล่าวหาข้าพเจ้าว่าเป็นพวกที่คิดว่าเพศชายดีกว่าเพศหญิง ข้าพเจ้ามีนักศึกษาสตรีในโครงการปริญญาเอกผู้มีความกระตือรือร้น เป็นนักวิเคราะห์และแสดงออกได้เหมือนนักศึกษาผู้ชาย เราต้องการนักศึกษาแบบนี้มากกว่านี้ บางทีเราอาจจะคัดเลือกพวกเธอ โดยการสรรหาจากผู้หญิงที่มีแรงบันดาลใจสูง แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะได้ผู้หญิงลักษณะเช่นนี้มาศึกษาในวิทยาลัยที่อยู่ในชนบท นอกจากจะเปลี่ยนเป็นวิทยาลัยสหศึกษา ข้าพเจ้าคิดว่าการจะดึงผู้ชายและผู้หญิงให้เข้ามาศึกษาได้นั้นควรจะมีการเพิ่มหลักสูตรวิชาชีพมากขึ้น หลักสูตรเก่า เช่น เตรียมแพทย์ เตรียทนาย และหลักสูตรที่ประยุกต์ใช้ได้กับวิชาอื่น เช่น บัญชี และการบริหาร”
ต่อไปนี้เป็นบทตัดต่อจากการให้สัมภาษณ์ของ Sheila Whitney นักศึกษาปีสุดท้าย ผู้ซึ่งเป็นประธานของสมาคมนักเรียน
“ฉันรักที่นี้ ... เนินเขา ต้นไม้ ทะเลสาป แต่สิ่งเหล่านี้ก็น่าเบื่อ บางครั้งฉันคิดว่าฉันอยู่ในโรงเรียนประจำ แม่บอกว่าแม่ไม่เข้าใจ เธอรู้ไหมว่าทำไม สมัยที่แม่เป็นนักศึกษาพวกผู้ชายชอบมาเที่ยวที่นี่ เดี๋ยวนี้พวกเขาก็ยังมากันอยู่แต่มาเพราะมีนัดกับคู่รักหรือมาเพราะมีความสัมพันธ์พิเศษ การจับคู่โดยไม่มีการเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ดังนั้นคุณจะไม่พบใครเลยเมื่ออยู่ที่นี่ ความจริงฉันก็ไม่ค่อยกังวลกับสิ่งเหล่านี้นัก เพราะฉันตั้งใจจะไปเข้าเรียนคณะกฎหมายที่อื่น แต่ฉันคิดว่าชั้นเรียนจะตื่นเต้นกว่านี้ถ้าเป็นสหศึกษา ผู้บริหารและอาจารย์ที่นี่บางคนก็ช่างหัวเก่าอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันรู้ว่าวิชาตอนปิดภาคฤดูร้อนที่เกี่ยวกับกฎหมาย (con-law) ที่ Old Ivy น่าสนใจกว่าชั้นเรียนที่นี่มากถึงกระนั้น ฉันก็ยังสงสัยว่าฉันจะได้เป็นประธานของสมาคมนักเรียนที่นั่นหรืออย่างน้อยที่สุดที่วิทยาลัยนี้คนที่ต้องการทำกิจกรรมก็สามารถทำได้ สิ่งนี้ช่วยฉันตอนที่ฉันสมัครเข้าเรียนวิชากฎหมาย ฉันจะกลับมาที่วิทยาลัยฟาร์โกอีกหรือไม่ ฉันไม่รู้ ฉันยังสงสัยอยู่”
คำถามเกี่ยวกับวิทยาลัยฟาร์โก
1. อะไรเป็นกลยุทธ์พื้นฐานของวิทยาลัย
2. ทำไมวิทยาลัยนี้จึงประสบความสำเร็จมานาน
3. อะไรที่เป็นจุดอ่อนของกลยุทธ์แบบนี้
4. คุณมีข้อเสนอแนะแก่อธิการบดีและคณะกรรมการบริหารว่าอย่างไร
*เอกสารประกอบการสัมมนา ผู้บริหารโรงเรียนคาทอลิก สิงหาคม 2530.
*ครู อาจารย์ นักบริหารการศึกษา และนักบริหารการพัฒนา : ภราดา ดร. ประทีป ม.โกมลมาศ